การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์เป็นการวิจัย ที่เน้นในการที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆ รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วในอดีต โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ในการรวบรวมข้อมูล และการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตลอดจนการสรุปผลด้วยความสมเหตุสมผล และสามารถนำผลจากการวิจัยที่ได้ มาใช้ในการอธิบายเหตุและผล จึงเป็นงานวิจัยที่ต้องอาศัยเวลาและความละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากทีมงานรับทำวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ที่เป็นมืออาชีพเท่านั้น จึงจะทำให้ผลงานออกมาดีและมีความน่าเชื่อถือ
ประเภทของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ แบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ชนิดคือ
- ศึกษาเป็นรายกรณี เป็นการศึกษาที่ชี้เฉพาะลงไป โดยอาจศึกษาเจาะจงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือสถาบัน
- การศึกษาพัฒนาการ เป็นการศึกษาความแตกต่าง ของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ในระยะใดระยะหนึ่ง โดยอาจศึกษาเหตุการณ์ทั้งหมด หรือเพียงบางส่วนของเหตุการณ์นั้น
- การศึกษาความเปลี่ยนแปลง รูปแบบคล้ายคลึงกับแบบที่ 2 แต่เป็นการเปรียบเทียบลักษณะการ เปลี่ยนแปลง ในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีต กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน
จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
- เพื่อศึกษาต้นกำเนิดหรือรากฐานของสิ่งที่ต้องการค้นหา
- เพื่อศึกษาถึงสภาพความเป็นจริง และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต หรือมีการเปลี่ยนแปลง
- เพื่อศึกษาสภาพเหตุการณ์ในปัจจุบัน อันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ในอดีต สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงของเดิมที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น
- เพื่อศึกษาเหตุการณ์ในอดีตหรือความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ในอดีต สามารถนำไปใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตได้
- เพื่อศึกษาชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของเหตุการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
แหล่งที่มาของข้อมูลในการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
- ข้อมูลชั้นต้นหรือข้อมูลปฐมภูมิ (Primary sources) เป็นแหล่งของข้อมูลที่ผู้วิจัยได้จากหลักฐานเดิม หรือ เช่นคำบอกเล่า การบันทึก เอกสารต่างๆ กฎหมายต่างๆ ประกาศ ระเบียบ สถิติต่างๆ ประกาศนียบัตร ซากโบราณวัตถุ
- ข้อมูลชั้นรองหรือข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary sources) เป็นแหล่งของข้อมูลที่ได้จากรายงาน หรือ ถ่ายทอดมา โดยรายงานโดยผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วม
ลักษณะของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
- พยายามอธิบายเหตุการณ์ในอดีต เพื่อประโยชน์ของการอธิบายเหตุการณ์ในปัจจุบัน และใช้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้
- มักไม่ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่จะใช้วิธีการวิพากษ์วิจารณ์ข้อมูล เพื่อตีความหมายข้อมูลและสรุปผล
- เน้นข้อมูลทางด้านหลักฐานต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต
- ที่ใช้เอกสารและห้องสมุด เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
- ผู้วิจัยไม่สามารถสร้างสถานการณ์เพื่อทดสอบผลการวิจัยได้
- ผู้วิจัยไม่มีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงแต่นำสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมาวิเคราะห์
ลำดับขั้นของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
- เลือกหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย เพื่อช่วยในการกำหนดขอบข่ายของงานวิจัย โดยพิจารณาว่าหัวข้อปัญหาในการวิจัยนี้เหมาะสมหรือไม่ จะหาข้อมูลได้จากที่ไหน และเป็นประโยชน์หรือในการศึกษาหรือไม่
- ตั้งจุดมุ่งหมายของการวิจัย โดยตั้งเป็นสมมติฐาน เพื่อช่วยให้สามารถกำหนดรูปแบบของการวิจัยได้
- การเก็บรวบรวมข้อมูล อาจจะเป็นแหล่งปฐมภูมิหรือแหล่งทุติยภูมิ
- ทำการข้อมูลที่รวบรวม ให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการวิเคราะห์
- ประเมินผลข้อมูล โดยประเมินคุณค่า ทั้งภายนอกและภายใน
- เขียนรายงานการวิจัย โดยการเขียนรายงานการวิจัยมีมากมายหลากหลายแบบ จะเสนอตามลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง หรือ เสนอตามกรอบหรือโครงร่างของเนื้อหาวิชาก็ได้
- การประเมินคุณค่าข้อมูลในทางประวัติศาสตร์ ขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วในอดีต จึงมักต้องใช้ข้อมูลซึ่งมาจากรายงาน ของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์หรือพยาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงในสิ่งนั้น
ประโยชน์ของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
- ทำให้เราทราบสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต และเมื่อเกิดเหตุการณ์เดิมสามารถที่จะแก้ไขได้
- สามารถนำมาใช้แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ในปัจจุบันได้
- ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขสิ่ง ต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะ ปัจจุบันได้
- ใช้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในปัจจุบัน และเป็นพื้นฐานแก่ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังมองหาทีมงานมืออาชีพ ที่พร้อมให้คำปรึกษา คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ พร้อมรับวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research)ที่มีคุณภาพ บนพื้นฐานของราคาที่ยุติธรรม